ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกของนางสาววรัญญา ศรีดาวฤกษ์

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559


บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 6
วันจันทร์ ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 10.30 - 12.30 น.
**ไม่มีการเรียนการสอน**

วันพฤหัสบดี ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 11.30 - 14.30 น.
          เริ่มต้นด้วยการเช็คชื่อเข้าเรียน และพูดคุยกันเพื่อรอเพื่อนมาครบและได้คุยเรื่องการออกไปศึกษาดูงานนอกสถานที่ด้วย
          จากนั้นอาจารย์ก็ให้นักศึกษานั่งเป็งรูปตัวยู และทำท่าทางบริหารสมอง ไม่ว่าจะเป็นท่าโป้ง-ก้อย ท่าจีบ-เอล ท่า1-10 เป็นต้น จากนั้นก็ได้ทำการอบอุ่นร่างกายโดยการยืด อาจารย์ได้บอกว่าท่าทางการเคลื่อนไหวที่นักศึกษาคิดจะออกไปแนวทางแอโรบิคมากกว่า อาจารย์จึงสอนท่าทางการเคลื่อนไหวแบบที่บริหารสมองได้ด้วย โดยเรียกว่าเบนยิม คือคล้ายๆแอโรบิคแต่จะทำช้ากว่าและได้ใช้สมองซีกซ้าย ซีกขวามากกว่า





จากนั้นอาจารย์ก็ได้สอนเกี่ยวกับการให้จังหวะสัญญาณการเคลื่อนไหวโดยการเคาะจังหวะ ถ้าครูเคาะจังหวะ 1 ครั้ง ให้เด็กก้าวไปทางทิศใดก็ได้ 1 ก้าว ถ้าครูเคาะจังหวะ 2 ครั้ง ให้เด็กก้าวไปทางทิศใดก็ได้ 2 ก้าว ถ้าครูเคาะจังหวะรัวๆ หลายๆ ครั้ง ให้เด็กเคลื่อนไหวไปรอบๆ โดยไม่ให้ชนกับกับเพื่อนและเมื่อได้ยินสัญญาณเคาะ 2 ครั้ง ติดกันให้เด็กหยุด ให้เด็กลองทำตามคำสั่งก่อน ถ้าเด็กไม่เข้าใจให้ครูอธิบายให้อีกครั้ง 
ขั้นตอนการสอนการเคลื่อนไหวและจังหวะให้กับเด็กคือ 
           1. ให้เด็กหาพื้นที่เป็นของตัวเองอาจใช้เทคนิคคำพูดว่าเด็กๆหาบ้านของตัวเองได้หรือยัง เป็นต้น
           2. ตั้งกติกาต่างๆ เช่นห้ามเคลื่อนไหวโดนเพื่อน และให้ฟังคำสั่งครูให้จบก่อนจึงจะปฏิบัติตามได้

อาจารย์ให้อาสาสมัครออกไปแสดงให้เพื่อนดูเป็นตัวอย่าง จากนั้นก็ให้แบ่งกลุ่มกลุ่มละ 5 คน ไปทำตามที่ครูสอน
กลุ่มที่ 1 
คุณครูพลอย


กลุ่มที่ 2 
คุณครูเลย์


กลุ่มที่ 3
คุณครูแตงโม


กลุ่มที่ 4
คุณครูส้มโอ


           เมื่อครบทุกกลุ่มแล้วอาจารย์ก็ได้พูดสรุปการสอนเคลื่อนไหวอีกครั้งและสั่งการบ้านให้นักศึกษาไปฝึกการสอนเคลื่อนไหวตามจังหวะมาสัปดาห์หน้าจะให้สอนทีละคน

ความรู้ที่ได้รับและการนำไปประยุกต์ใช้
          ได้รับความรู้เรื่องการสอนกิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะ ขั้นตอนการสอน เช่น การให้เด็กหาพื้นที่เป็นของตนเอง สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการสอนได้ เช่น เราอาจจะปรับเปลี่ยน การเคาะ 1 ครั้ง ให้ทำท่าเป็นสัตว์ต่างๆ และกระโดดไป 1 ก้าว เป็นต้น ถือว่าสามารถนำไปต่อยอดได้มากมาย

 การประเมิน 
ประเมินตนเอง
          เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจเรียนและไม่รบกวนเพื่อนในเวลาเรียน ทำกิจกรรมการเรียนสอนอย่างเต็มที่ ตอบคำถามที่อาจารย์ถามได้
ประเมินเพื่อนร่วมชั้นเรียน
          เพื่อนๆเข้าเรียนตรงเวลา และมีความตั้งใจเรียน และทำกิจกรรมต่างๆที่อาจารย์สั่ง
ประเมินอาจารย์ผู้สอน
          อาจารย์เข้าสอนตรงเวลาตั้งใจสอนและมีความเป็นกันเอง จึงทำให้บรรยากาศการเรียนการสอนไม่ตึงเครียดมาก มีการเตรียมกิจกรรมการสอนมาเป็นอย่างดี





วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 5 
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2559 เวลา 10.30 - 12.30 น.

วันนี้เริ่มต้นด้วยการปั๊มใบเช็คชื่อเข้าเรียน และเข้าสู่การเรียนการสอน
เรื่อง ความสามารถทางการคิด
ความสามารถทางการคิด แบ่งออกเป็น
  • ลักษณะการคิด
  • ทักษะการคิด
  • กระบวนการคิด
ทักษะการคิด
ทักษะการคิดขั้นพื้นฐานที่สำคัญ
            ความสามารถในการคิดที่จำเป็น ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นทักษะย่อย ที่มีกระบวนการขั้นตอนการคิดไม่มากเป็นองค์ประกอบของกระบวนการคิดที่ซับซ้อน แบ่งเป็น
      - ทักษะการสื่อความหมาย
      - ทักษะการคิดที่เป็นแกนสำคัญ
ทักษะการคิดขั้นสูง
          ความสามารถในการคิดที่มีกระบวนการหรือขั้นตอนมากและซับซ้อน ต้องใช้ทักษะพื้นฐานหลายทักษะผสมผสานกันในการคิด
ลักษณะการคิด
            เป็นคุณสมบัติของการคิดที่นำไปใช้ในการดำเนินการคิดควบคู่กับการคิดอื่น เพื่อให้การคิดนั้นๆ มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
กระบวนการคิด
            เป็นการคิดที่ต้องดำเนินไปตามลำดับขั้นตอนเพื่อช่วยในการคิดนั้นประสบผลสำเร็จตามความมุ่งหมายของการคิด แต่ละกระบวนการคิดจะประกอบไปด้วยขั้นตอนง่ายๆ และในแต่ละขั้นตอนจำเป็นต้องอาศัยทักษะการคิด หรือ ลักษณะการคิดจำนวนมาก
สมรรถนะทั้ง 7 ด้านของเด็กปฐมวัย
สมรรถนะ (Competency) คือพฤติกรรมบ่งชี้ของแต่ละวัย (ช่วงอายุ) ว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง
ตัวอย่าง : การเคลื่อนไหวและการทรงตัว
            3 ปี – วิ่งและหยุดเองได้
            4 ปี – เดินต่อเท้าไปข้างหน้าโดยไม่กางแขน
            5 ปี – เดินต่อเท้าไปข้างหลังโดยไม่กางแขน
ตัวอย่าง : การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนเด็ก
            3 ปี – พูดคุยและเล่นกับเพื่อนเด็กด้วยกัน
            4 ปี – ช่วยเหลือเพื่อน
            5 ปี – ชวนเพื่อนมาเล่นด้วยกันโดยกำหนดสถานที่
ตัวอย่าง : ความทรงจำ
            3 ปี – ท่องคำคล้องจองสั้น ๆ ได้
            4 ปี – บอกชื่อวันในหนึ่งสัปดาห์
            5 ปี – บอกหมายเลขโทรศัพท์ที่บ้านได้
ตัวอย่าง : การคิดอย่างมีวิจารณญาณ
            3 ปี – แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ โดยการลองผิดลองถูก เช่น สวมรองเท้า ติดกระดุม
            4 ปี – แก้ปัญหาโดยใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น ใช้ไม้เขี่ยสิ่งของที่เอื้อมไม่ถึง
            5 ปี – แก้ปัญหาได้หลายวิธี และรู้จักเลือกวิธีที่เหมาะสม
ความสำคัญ
  • ทำให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง ผู้ดูแลเด็กและครูปฐมวัยมีความรู้ ความเข้าใจ เด็กปฐมวัยมากขึ้น
  • สร้างความตระหนักในความสำคัญของการพัฒนาเด็กในช่วงปฐมวัยมากขึ้น
  • ชี้แนะแนวทางในการพัฒนาเด็กเป็นเสมือน “คู่มือช่วยแนะแนว”
  • ส่งเสริมวิธีการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยให้ได้คุณภาพดียิ่งขึ้น
  • ทำให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัยมีเป้าหมายร่วมกันและประสานประโยชน์เพื่อเด็กได้ดียิ่งขึ้น
ข้อตกลงเบื้องต้น
          เด็กปฐมวัยทุกคนมีความแตกต่างระหว่างบุคคล พ่อแม่ ผู้ปกครอง ผู้ดูแลเด็ก ครู อาจารย์ ควรศึกษาพฤติกรรมบ่งชี้ (สมรรถนะ) ด้วยความเข้าใจ และไม่ควรถือว่าพฤติกรรมบ่งชี้เหล่านี้ เป็นแบบประเมินเด็ก เสมือนลักษณะการสอบตก สอบได้เด็ดขาด ถ้าพบว่าเด็กบางคนมีพัฒนาการล่าช้าจากช่วงอายุก็ควรปรึกษาแพทย์ต่อไป

สมรรถนะ 7 ด้าน ประกอบด้วย
       (1) การเคลื่อนไหวและสุขภาพทางกาย      
       (2) พัฒนาการด้านสังคม
       (3) พัฒนาการด้านอารมณ์                       
       (4) พัฒนาการด้านการคิดและสติปัญญา
       (5) พัฒนาการด้านภาษา                          
       (6) พัฒนาการด้านจริยธรรม
       (7) พัฒนาการด้านการสร้างสรรค์

สรุปจากงานวิจัย
จากสมรรถนะจำนวน 419 ข้อ พบว่าเด็กทำได้ในระดับจากง่ายไปหายาก ดังนี้
                        สมรรถนะ          178 ข้อ อยู่ระดับ ง่าย
                        สมรรถนะ            52 ข้อ อยู่ระดับ ปานกลาง
                        สมรรถนะ          189 ข้อ อยู่ระดับ ยาก
ดังนั้นข้อค้นพบเหล่านี้เป็นประเด็นที่บ้านและโรงเรียนจะต้องร่วมมือกันพัฒนาและส่งเสริมเด็กของเราต่อไป บนพื้นฐานของการจัดประสบการณ์ที่ถูกต้อง
แนวแนะหลักในการปฏิบัติต่อเด็กของผู้ดูแลเด็กครูและอาจารย์ (สกศ., 2553)
    1. รักเด็กเป็นที่ตั้ง
    2. ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
    3. เข้าใจกระบวนการและการพัฒนาตามวัยของเด็กอย่างรอบด้าน
    4. เข้าใจกระบวนการการเรียนรู้ของเด็กในวัยนี้
    5. มีจินตนาการและค้นหาหรือสร้างสื่อเรียนรู้ที่ทำให้เด็กสนใจ 
    6. สนับสนุนเด็กให้แสดงความคิดเห็น ให้เด็กคิด ให้เด็กมีส่วนร่วม
    7.  เป็นแบบอย่างที่ดี ที่ไม่ดี ไม่เฆี่ยนเด็ก ไม่ก้าวร้าวทำร้ายทารุณและไม่ละเมิดทางกาย ทางเพศ ทางวาจากับเด็ก
    8.  ชี้ชวนเด็กให้รู้จักตนเองและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
    9.  เข้าใจเรื่องความแตกต่างระหว่างเด็ก
    10. สังเกตเด็กและพฤติกรรมเด็กอย่างต่อเนื่อง
    11. สัมพันธ์และสร้างเครือข่ายกับพ่อแม่ผู้ปกครองและผู้คนในชุมชน
    12. คำนึง “ประโยชน์สูงสุด” ที่จะตกอยู่กับเด็กเป็นสำคัญ

วันพฤหัสบดี ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2559 เวลา 11.30 - 14.30 น.
**ไม่มีการเรียนการสอน**

 ความรู้ที่ได้รับและการนำไปประยุกต์ใช้ 
           ได้รู้จักความหมายของการคิดและลักษณะของการคิด สามารถนำไปฝึกทักษะแบบผสมผสานหรือแบบอื่นๆ ได้ตามกิจกรรมของเรา
 การประเมิน 
ประเมินตนเอง
          เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจเรียนและไม่รบกวนเพื่อนในเวลาเรียน ทำกิจกรรมการเรียนสอนอย่างเต็มที่
ประเมินเพื่อนร่วมชั้นเรียน
          เพื่อนๆเข้าเรียนตรงเวลา และมีความตั้งใจเรียน มีการบันทึกระหว่างการเรียนการสอน
ประเมินอาจารย์ผู้สอน
          อาจารย์เข้าสอนตรงเวลาตั้งใจสอนและมีความเป็นกันเอง จึงทำให้บรรยากาศการเรียนการสอนไม่ตึงเครียดมาก


วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559


บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 4
วันจันทร์ ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 10:30 - 12:30 น.


วันนี้เมื่อนักศึกษาเข้าเรียนครบแล้วก็ปั๊มใบบันทึกการเข้าเรียนและเริ่มการนำเสนองานทฤษฎีที่อาจารย์ให้เป็นการบ้าน

กลุ่มที่ 1 ทฤษฎีการเคลื่อนไหวทางด้านร่างกาย


ทฤษฎีการเคลื่อนไหวทางด้านร่างกายของอาร์โนลด์ กีเซลล์
           กีเซลล์ กล่าวถึงทฤษฎีพัฒนาการทางร่างกายว่าการเจริญเติบโตของเด็กจะแสดงออก เป็นพฤติกรรมด้านต่าง ๆ สำหรับพัฒนาการทางร่างกายนั้นหมายถึง การที่เด็กแสดงความสามารถในการจัดกระทำ กับวัสดุ เช่น การเล่น ลูกบอล การขีดเขียน เด็กต้องใช้ความสามารถของการใช้สายตาและกล้ามเนื้อมือ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ต้องอาศัยการเจริญเติบโตของระบบประสาทและการเคลื่อนไหวประกอบกัน ลักษณะพัฒนาการที่สำคัญของเด็กในระยะนี้ ก็คือ การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเคลื่อนไหว การทำ งานของระบบประสาทกล้ามเนื้อ การพัฒนาความสามารถในการควบคุมร่างกาย การบังคับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
กีเซลล์ ได้แบ่งพัฒนาการเด็กออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้
            1. พฤติกรรมด้านการเคลื่อนไหว  เป็นความสามารถของร่างกายที่ครอบคลุมถึงการบังคับอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายและความสัมพันธ์
ทางด้านการเคลื่อนไหวทั้งหมด
  
           2. พฤติกรรมด้านการปรับตัว เป็นความสามารถในการประสานงานระหว่างระบบการเคลื่อนไหวกับระบบความรู้สึก เช่น การ 
ประสานงานระหว่างตากับมือ
  
           3. พฤติกรรมทางด้านภาษา จะเป็นการแสดงออกทางหน้าตาและท่าทางการเคลื่อนไหว 
             4. พฤติกรรมทางด้านนิสัยส่วนตัวและสังคม เป็นความสามารถในการปรับตัวของเด็ก ระหว่างบุคคลกับบุคคลและบุคคลกับกลุ่มภายใต้ภาวะ แวดล้อมและสภาพความเป็นจริง
การนำมาประยุกต์ใช้
             1.โครงสร้างของทฤษฎีกีเซลล์ ยึดพัฒนาการเด็ก คุณลักษณะที่พึงประสงค์ และประสบการณ์สำคัญ
             2. ไม่เร่งสอนสิ่งที่ยากเกินพัฒนาการตามวัยของเด็ก
             3.จัดกิจกรรมให้เด็กมีโอกาสเคลื่อนไหว กิจกรรมเดี่ยวและกิจกรรมกลุ่ม
             4.จัดกิจกรรมให้เด็กได้ฟัง ได้พูด ท่องคำคล้องจองร้องเพลง ฟังนิทาน

ทฤษฎีการเรียนรู้ของบรูเนอร์
             เชื่อว่าพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กเกิดจากกระบวนการ ภายในอินทรีย์ (Organism) เน้นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมที่แวดล้อมเด็ก ซึ่งจะพัฒนาได้ดีเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก
ทฤษฎีของบรูเนอร์เน้นหลักการ กระบวนการคิดประกอบด้วยลักษณะ 4 ข้อ คือ
             1.แรงจูงใจ (Motivation) 
             2.โครงสร้าง (Structure)
             3.ลำดับขั้นความต่อเนื่อง (Sequence)
             4.การเสริมแรง (Reinforcement)
บรูเนอร์แบ่งขั้นพัฒนาการการเรียนรู้ของมนุษย์ออกเป็น 3 ขั้น คือ

             1. ขั้นการกระทำ (Enactive Stage) เด็กเรียนรู้จากการกระทำและการสัมผัส

             2. ขั้นคิดจินตนาการหรือสร้างมโนภาพ (Piconic Stage) เด็กเกิดความคิดจากการรับรู้ตามความเป็นจริง และการคิดจากจินตนาการ

             3. ขั้นใช้สัญลักษณ์และคิดรวบยอด (Symbolic Stage) เด็กเริ่มเข้าใจเรียนรู้ความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับ สิ่งที่พบเห็น

กลุ่มที่ 2 ทฤษฎีการเคลื่อนไหวทางด้านสติปัญญา

ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์
กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเด็กมีความพร้อมทั้งทางกายและทางใจเกี่ยวกับร่างกาย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมการใช้กล้ามเนื้อและระบบประสาทให้สัมพันธ์กันและเพื่อเป็นการฝึกทักษะ เกี่ยวกับทางจิตใจเป็นความพร้อมทางด้านสมองและสติปัญญา และควรคำนึงถึงความพร้อมในวัยต่างๆ ด้วยว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรเมื่อเด็กมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจจะส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี
กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) เด็กจะเรียนรู้จากการกระทำซ้ำๆ กันหลายๆ ครั้งเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวและจังหวะเด็กจะเกิดทักษะในแบบต่างๆ ซึ่งทำให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานสัมพันธ์กันดี
กฎแห่งผล (Law of Effects) เด็กจะเรียนรู้ได้ดีถ้าผลของการกระทำนั้นเป็นไปในทางบวกหรือทางที่ดี ซึ่งจะทำให้เด็กเกิดความสนใจ
เกิดทักษะ ทำให้เด็กมีความสนุกสนานและความพอใจ

ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์
เพียเจต์ อธิบายว่าพัฒนาการทางสติปัญญาของคนมีลักษณะเดียวกันในช่วงอายุเท่ากันและแตกต่างกันในช่วงอายุต่างกัน พัฒนาการทางสติปัญญาเป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อมโดยบุคคลพยายามปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุลด้วยการใช้กระบวนการดูดซึมและกระบวนการปรับให้เหมาะสมจนทำให้เกิดการเรียนรู้โดยเริ่มจากการสัมผัส ต่อมาจึงเกิดความคิดทางรูปธรรมและพัฒนาไปเรื่อย ๆ จนเกิดความคิดที่เป็นนามธรรมซึ่งเป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตามลำดับเพียเจต์ถือว่าการให้เด็กได้สัมผัสวัตถุต่างๆ จะส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ โดยเฉพาะในเด็กปฐมวัยซึ่งอาศัยการรับรู้เป็นสื่อในการกระตุ้นทางความคิดของเด็ก จำเป็นต้องให้เด็กได้มีโอกาสเคลื่อนไหวและสัมผัสสิ่งต่างๆ ทฤษฎีนี้เป็นประโยชน์ในการจัดเนื้อหากิจกรรมทางการเคลื่อนไหว โดยให้เด็กได้สัมผัสกับวัตถุต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเด็กซึ่งจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ในสิ่งใหม่

 กลุ่มที่ 3 ทฤษฎีการเคลื่อนไหวทางด้านความคิดสร้างสรรค์
กิลฟอร์ด กล่าวว่า “ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถทางสมองในการคิดหลายทิศทาง ซึ่งมีองค์ประกอบความสามารถในการริเริ่ม ความคล่องในการคิด ความยืดหยุ่นในการคิด และความสามารถในการแต่งเติมและให้คำอธิบายใหม่ที่เป็นการติดตามหลักเหตุผลเพื่อหาคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว เชื่อว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถทางสมองที่คิดได้อย่างซับซ้อน กว้างไกล หลายทิศทาง หรือที่เรียกว่า คิดอเนกนัย (Divergent thinking) ซึ่งประกอบด้วย ความคิดริเริ่ม (Originality) ความคิดคล่องแคล่ว (Fluency) ความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) ความคิดละเอียดลออ(Elaboration)

กิลฟอร์ดได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ไว้ดังนี้
          1. ความคิดริเริ่ม (Originality) หมายถึง ความคิดแปลกใหม่ไม่ซ้ำกันกับความคิดของคนอื่น และแตกต่างจากความคิดธรรมดา ความคิดริเริ่มอาจเกิดจากการคิดจากเดิมที่มีอยู่แล้วให้แปลกแตกต่างจากที่เคยเห็น หรือสามารถพลิกแพลงให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิด ความคิดริเริ่มอาจเป็นการนำเอาความคิดเก่ามาปรุงแต่งผสมผสานจนเกิดเป็นของใหม่ ความคิดริเริ่มมีหลายระดับซึ่งอาจเป็นความคิดครั้งแรกที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครสอนแม้ความคิดนั้นจะมีผู้อื่นคิดไว้ก่อนแล้วก็ตาม
          2. ความคิดคล่องแคล่ว (Fluency) หมายถึง ปริมาณความคิดที่ไม่ซ้ำกันในเรื่องเดียวกัน โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
              2.1 ความคล่องแคล่วทางด้านถ้อยคำ (Word Fluency) เป็นความสามารถในการใช้ถ้อยคำอย่างคล่องแคล่ว
              2.2 ความคิดคล่องแคล่วทางด้านการโยงสัมพันธ์ (Associational Fluency) เป็นความสามารถที่จะคิดหาถ้อยคำที่เหมือนกันได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ภายในเวลาที่กำหนด
              2.3 ความคล่องแคล่วทางด้านการแสดงออก (Expression Fluency) เป็นความสามารถในการใช้วลีหรือประโยค กล่าวคือ สามารถที่จะนำคำมาเรียงกันอย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้ประโยคที่ต้องการ
              2.4 ความคล่องแคล่วในการคิด (Ideational Fluency) เป็นความสามารถที่จะคิดค้นสิ่งที่ต้องการภายในเวลาที่กำหนด เช่น ใช้คิดหาประโยชน์ของก้อนอิฐให้ได้มากที่สุดภายในเวลาที่กำหนดซึ่งอาจเป็น 5 นาที หรือ 10 นาที

          3. ความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) หมายถึง ประเภทหรือแบบของการคิดแบ่งออกเป็น
               3.1 ความคิดยืดหยุ่นที่เกิดขึ้นทันที (Spontaneous Flexibility) เป็นความสามารถที่จะพยายามคิดได้หลายทางอย่างอิสระ ตัวอย่างของคนที่มีความคิดยืดหยุ่นในด้านนี้จะคิดได้ว่าประโยชน์ของหนังสือพิมพ์มีอะไรบ้าง ความคิดของผู้ที่ยืดหยุ่นสามารถจัดกลุ่มได้หลายทิศทางหรือหลายด้าน เช่น เพื่อรู้ข่าวสาร เพื่อโฆษณาสินค้า เพื่อธุรกิจ ฯลฯ ในขณะที่คนที่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์จะคิดได้เพียงทิศทางเดียว คือ เพื่อรู้ข่าวสาร เท่านั้น
              3.2 ความคิดยืดหยุ่นทางด้านการดัดแปลง (Adaptive Flexibility) หมายถึง ความสามารถในการดัดแปลงความรู้ หรือประสบการณให้เกิดประโยชน์หลายๆ ด้าน ซึ่งมีประโยชน์ต่อการแก้ปัญหา ผู้ที่มีความยืดหยุ่นจะคิดดัดแปลงได้ไม่ซ้ำกัน
          4. ความคิดละเอียดละออ (Elaboration) หมายถึง ความคิดในรายละเอียดเป็นขั้นตอน สามารถอธิบายให้เห็นภาพชัดเจน หรือเป็นแผนงานที่สมบูรณ์ขึ้น ความคิดละเอียดละออจัดเป็นรายละเอียดที่นำมาตกแต่ง ขยายความคิดครั้งแรกให้สมบูรณ์ขึ้น

จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นการคิดอเนกนัย ที่ประกอบด้วยความคิดริเริ่ม ความคล่องแคล่วในการคิด ความยืดหยุ่นในการคิด และความคิดละเอียดลออ

ทฤษฎีเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว
คือ เป็นความสามารถในการคิด จินตนาการ ความคิดแปลกใหม่โดยอาศัยความคิดและประสบการณ์เดิมแล้วนำมาปรับปรุง มีการคิดได้อย่างอิสระคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน จะแสดงออกโดยการเคลื่อนไหวและออกแบบท่าทางต่างๆขึ้นมาตามความคิดของเด็กเอง เช่น การที่เด็กจินตนาการคิดว่าตนเองเป็นผีเสื้อ เด็กจะทำการคิดผ่านกระบวนการต่างๆแล้วแสดงออกมาเป็นท่าทางของผีเสื้อ เช่น ผีเสื้อมีปีก ผีเสื้อต้องบิน เป็นต้น

ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์
            อี พอล ทอร์แรนซ์ (E. Paul Torrance) นิยามความคิดสร้างสรรค์ว่าเป็นกระบวนการของความรู้สึกไวต่อปัญหา หรือสิ่งที่บกพร่องขาดหายไปแล้วรวบรวมความคิดตั้งเป็นสมมติฐานขึ้น ต่อจากนั้นก็ทำการรวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่อทดสอบสมมติฐานนั้น
Torrance  เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังท่านหนึ่งทางด้านความคิดสร้างสรรค์ ได้สร้างทฤษฎีและแบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ที่ใช้กันในหลายประเทศทั่วโลก เขากล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์จะแสดงออกตลอดกระบวนการของความรู้สึกหรือการเห็นปัญหาการรวบรวมความคิดเพื่อตั้งเป็นข้อสมมติฐาน การทดสอบ และดัดแปลงสมมติฐานตลอดจนวิธการเผยแพร่ผลสรุปที่ได้ความคิดสร้างสรรค์ จึงเปนกระบวนการแก้ ปัญหาทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง และทอร์แรนซ์เรียกกระบวนการลักษณะนี้ว่ากระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรคค์หรือ  “The creative problem solving process”
กระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์แบ่งออกได้ 5 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 การพบความจริง ในขั้นนี้เริ่มตั้งแต่ความรู้สึกกังวล มีความสับสน วุ่นวาย เกิดขึ้นในจิตใจ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นอะไร จากจุดนี้ก็พยายามตั้งสติ และหาข้อมูลพิจารณาดูว่าความยุ่งยาก วุ่นวาย สับสน หรือสิ่งที่ทำให้กังวลใจนั้นคืออะไร
 ขั้นที่ 2 การค้นพบปัญหา ขั้นนี้เกิดต่อจากขั้นที่ 1 เมื่อได้พิจารณาโดยรอบคอบแล้ว จึงเข้าใจและสรุปว่า ความสับสนวุ่นวายนั้นก็คือ การเกิดปัญหานั่นเอง
ขั้นที่ 3 การตั้งสมมติฐาน ขั้นนี้ต่อจากขั้นที่ 2 เมื่อรู้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นก็จะพยายามคิดและตั้งสมมติฐาน และรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการทดสอบสมมติฐานในขั้นที่ 3
ขั้นที่ 4 การแก้ปัญหา ในขั้นนี้จะพบคำตอบจากการทดสอบสมมติฐานในขั้นที่ 3
ขั้นที่ 5 ยอมรับผลจากการค้นพบ ขั้นนี้เป็การยอมรับคำตอบที่ได้จากการพิสูจน์เรียบร้อยแล้ว่าน่าจะแก้ปัญหาให้สำเร็จได้อย่างไร แต่ต่อจากจุดนี้การแก้ปัญหาหรือการค้นพบยังไม่จนตรงนี้ แต่ผลที่ได้จากการค้นพบจะนำไปสู่หนทางที่จะทำให้เกิดแนวคิดหรือสิ่งใหม่ต่อไปที่เรียกว่า New Challent

Torrance ได้กําหนดขั้นตอนของความคดสร้างสรรค์ออกเป็น 4 ขั้นดังนี้
1. ขั้นเริ่มคิด คือ ขั้นพยายามรวบรวมข้อเท็จจรงิ เรื่องราวและแนวคิดต่าง ๆ ที่มีอยู่เข้าดัวยกันเพื่อหาความกระจ่างในปัญหา ซึ่งยังไม่ทราบว่าผลที่จะเกิดขึ้นนั้นจะเป็นไปในรูปแบบใดและอาจใช้เวลานานจนบางครั้งจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว
2. ขั้นครุ่นคิด คือ ขั้นที่ผู้คิดต้องใช้ความคิดอย่างแต่บางครั้งความคิดอันนี้อาจหยุดชะงักไปเฉยๆเป็นเวลานาน บางครั้งก็จะกลับมาเกิดขึ้นใหม่อีก
3. ขั้นเกิดความคิด คือ ขั้นที่ความคิดจะมองเห็นความสัมพันธ์ของความคิดใหม่ที่ซ้ำกับความคิดเก่าๆซึ่งมีผู้คิดมาแล้ว การมองเห็นความสัมพันธ์ในแนวความคิดใหม่นี้จะเกิดขึ้นในทันทีทันใด ผู้คิดไม่ได้นึกฝันว่าจะเกิดขึ้นเลย
4. ขั้นปรับปรุง คือ ขั้นการขัดเกลาความคิดนั้นให้หมดจดเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่ายหรือต่อเติมเสริมแต่งความคิดที่เกิดขึ้นใหม่นั้นให้รัดกุมและวิวัฒนาการก้าวหน้าต่อไป ในบางกรณีก่อให้เกิดการประดิษฐ์ผลงานใหม่ๆทางวิทยาศาสตร์ นวนิยาย บทเพลง จิตรกรรม และการออกแบบอื่นๆ เป็นต้น

ทฤษฎีเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว
ความคิดสร้างสรรค์ว่าเป็นกระบวนการของความรู้สึก หากเด็กรู้สึกอย่างไรก็จะมีการแสดงออกและเคลื่อนไหวออกมาแบบนั้น เช่น เด็กฟังเพลงเด็กมีความรู้สึกที่ดีต่อเพลงๆนั้น เด็กก็จะเคลื่อนไหวและแสดงออกมาตามบทเพลงที่เด็กได้ฟัง

กลุ่มที่ 4 ทฤษฎีการเคลื่อนไหวทางด้านสังคม

ทฤษฎีของอิริคสัน 
      อิริสันเป็นลูกศิษย์ของฟรอยด์ได้สร้างทฤษฏีขึ้นในแนวคิดของฟรอยด์ แต่ได้เน้นความสําคัญของทางด้านสังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมด้านจิตใจว่ามีบทบาทในการพัฒนาการบุคลิกภาพมาก ความคิดของอิริสันต่างกับฟรอยด์หลายประการ เป็นต้นว่าเห็นความสําคัญของEgo มากว่า Id และถือว่าพัฒนาการของคนไม่ได้จบแค่วัยรุ่น แต่ต่อไปจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ด้วยเหตุที่อิริสันเน้นกระบวนการทางสังคมว่าเป็นจุดกระตุ้นหล่อหลอมบุคลิกภาพ เขาจึงได้เรียกทฤษฎีของเขาว่า เป็นทฤษฏีจิตสังคม
อิริคสันได้แบ่งพัฒนาการของบุคลิกภาพออกเป็น 8 ขั้น ดังต่อไปนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นความไว้วางใจ-ความไม่ไว้วางใจ
      ซึ่งเป็นขั้นในวัยทารก อีริคสันถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญของพัฒนาการในวัยต่อไป เด็กวัยทารกจำเป็นจะต้องมีผู้เลี้ยงดูเพราะช่วยตนเองไม่ได้
ผู้เลี้ยงดูจะต้องเอาใจใส่เด็ก
ขั้นที่ 2 ความเป็นตัวของตัวเองอย่างอิสระ – ความสงสัยไม่แน่ใจตัวเอง
     อยู่ในวัยอายุ 2-3 ปี วัยนี้เป็นวัยที่เริ่มเดินได้ สามารถที่จะพูดได้และความเจริญเติบโตของร่ายกาย ช่วยให้เด็กมีความอิสระ พึ่งตัวเองได้ และมีความอยากรู้อยากเห็น อยากจับต้องสิ่งของต่างๆ เพื่อต้องการสำรวจว่าคืออะไร เด็กเริ่มที่อยากเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง 
ขั้นที่ 3 การเป็นผู้คิดริเริ่ม – การรู้สึกผิด
      วัยเด็กอายุประมาณ 3-5 ปี อีริคสันเรียกวัยนี้ว่าเป็นวัยที่เด็กมีความ คิดริเริ่มอยากจะทำอะไรด้วยตนเองจากจินตนาการของตนเอง การเล่นสำคัญมากสำหรับวัยนี้เพราะเด็กจะได้ทดลองทำสิ่งต่างๆจะสนุกจากการ สมมุติของต่างๆเป็นของจริงเช่นอาจจะใช้ลังกระดาษเป็นรถยนต์ขับรถยนต์ เหมือนผู้ใหญ่ 
***สามขั้นแรกเป็นขั้นพัฒนาการที่เกี่ยวกับเด็กปฐมวัย***
ขั้นที่ 4 ความต้องการที่จะทำกิจกรรมอยู่เสมอ – ความรู้สึกด้อย
ขั้นที่ 5 อัตภาพหรือการรู้จักว่าตนเองเป็นเอกลักษณ์ – การไม่รู้จักตนเองหรือสับสนในบทบาทในสังคม
ขั้นที่ 6 ความใกล้ชิดผูกพัน – ความอ้างว้างตัวคนเดียว
ขั้นที่ 7 ความเป็นห่วงชนรุ่นหลัง – ความคิดถึงแต่ตนเอง
ขั้นที่ 8 ความพอใจในตนเอง – ความสิ้นหวังและความไม่พอใจในตนเอง 
ทฤษฎีของอิริสัน เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวอย่างไร
ตามทฤษฎีอาจกล่าวได้ว่าเด็กมักมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างอิสระ ต้องการที่จะเรียนรู้และทำอะไรด้วยตนเอง และในวัยนี้มักมีการเคลื่อนไหวจากการเล่น ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการเรียนรู้ของเด็กวัยนี้
ทฤษฎีของอัลเบิร์ต แบนดูรา
         อัลเบิร์ต แบนดูรา กล่าวว่า การเรียนรู้ของมนุษย์นั้นเกิดจากพฤติกรรมบุคคลนั้นมีการปฏิสัมพันธ์ อย่างต่อเนื่องระหว่างบุคคลนั้น และสิ่งแวดล้อม ซึ่งทฤษฎีนี้เน้นบุคคลเกิดการเรียนรู้โดยการให้ตัวแบบ โดยผู้เรียนจะเลียนแบบจากตัวแบบ และการเลียนแบบนี้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยการสังเกตพฤติกรรมของตัวแบบ การสังเกตการณ์ตอบสนองและปฏิกิริยาต่าง ๆ ของตัวแบ[สภาพแวดล้อมของตัวแบบ ผลการกระทำ คำบอกเล่า และความน่าเชื่อถือของตัวแบบได้ การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจึงเกิดขึ้นได้ ซึ่งกระบวนการต่าง ๆ ของการเลียนแบบของเด็ก ประกอบด้วย 4 กระบวนการ
1. กระบวนการดึงดูดความสนใจ (Attentional Process) 
2. กระบวนการคงไว้ (Retention Process) 
3. กระบวนการแสดงออก (Motor reproduction Process)
4. กระบวนการจูงใจ (Motivational Process) 
ทฤษฎีของอัลเบิร์ต แบนดูรา เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว
          คือ เมื่อเด็กเห็นในสิ่งต่างๆที่ไม่เคยเห็น ไม่ว่าจะเป็นในทีวี ในบ้าน หรือว่านอกบ้าน สิ่งต่างที่เด็กเห็นนั้นล้วนมีการเคลื่อนไหว แสดงท่าทางต่างๆ แล้วเมื่อเด็กจะสังเกตุ สมองของเด็กจะมีการจดจำในสิ่งพวกนั้น แล้วนำมาทำตามหรือเรียกว่า "เลียนแบบ“ จนเกิดเป็นการเคลื่อนไหวตามสิ่งต่างๆ 



วันพฤหัสบดี ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 11:30 - 14:30 น.
กิจกรรมการเรียนการสอน
          กิจกรรมการเรียนการสอนในวันนี้เริ่มต้นด้วยการฝึกสมาธิเพื่อทำให้มีสมาธิในการเรียนด้วยการทำท่าฝึกสมาธิต่างๆ เช่น ท่าจีบเอล ท่านับหนึ่งถึงสิบ ท่าโป้งก้อย เป็นต้น


          กิจกรรมต่อมาคือ อาจารย์ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน เพื่อคิดท่าการเคลื่อนไหวอยู่กับที่กลุ่มละ 10 ท่า จากนั้นก็ปล่อยให้ปรึกษาและซ้อมท่าการเคลื่อนไหวของแต่ละกลุ่มเป็นเวลา 15 นาที และออกมานำเสนอท่าทั้ง 10 ท่าของกลุ่มตัวเอง 









          กิจกรรมต่อมาคือการเคลื่อนไหวอยู่กับที่ให้เข้ากับจังหวะ โดยอาจารย์ให้นักศึกษาคิดท่าทางประกอบเพลงคนละ 1 ท่า และออกไปนำเพื่อนเต้นหน้าห้อง โดยท่าทางของแต่ละคนไม่ให้ซ้ำกัน


          กิจกรรมสุดท้ายอาจารย์ก็สอนเทคนิควิธีการสอนกิจกรรมการเคลื่อนไหว โดยให้นักศึกษาออกไปแสดงบทบาทสมมติเป็นครูสอนกิจกรรมการเคลื่อนไหวให้กับเด็ก โดยออกไปทำท่าทางทั้งหมด 3 ท่า โดยวิธีการสอนคือต้องทำท่าทางให้เด็กๆ ดูและเด็กเล็กๆ 3-4 ขวบ ยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่าด้านไหนคือ ด้านซ้าย ด้านขวา เวลาครูสอนเมื่อหันหน้าเข้าหาเด็ก ซ้ายมือของครูคือซ้ายมือของเด็ก ขวามือของครูคืซ้ายมือของเด็ก แต่ถ้าเป็นเด็กโตขึ้นมาหน่อยก็จะรู้เองว่าด้านไหนคือซ้ายมือ ขวามือ กิจกรรมนี้สนุกมาก >< เพื่อนๆ น่ารักกันทุกคนเลย 






 




 




ความรู้ที่ได้รับและการนำไปประยุกต์ใช้ 
ได้รู้ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทั้งด้านร่างกาย สังคม ความคิดสร้างสรรค์ และสติปัญญา และได้รับเทคนิคในการสอนกิจกรรมการเคลื่อนไหว สามารถนำไปใช้ในการสอนจริงได้ เช่น การสอนทางด้านซ้าย ด้านขวาของครูและเด็ก อีกทั้งยังสามารถคิดท่าทางต่างๆ ที่ใช้สอนในกิจกรรมการเคลื่อนไหวได้ และได้เทคนิคมากมาย

การประเมิน
ประเมินตนเอง
          เข้าเรียนตรงเวลา และตั้งใจเรียน ตั้งใจทำกิจกรรมต่างๆที่อาจารย์ได้ให้ทำ พร้อมทั้งช่วยเหลือเพื่อนในการทำกิจกรรมกลุ่มอีกด้วย
ประเมินเพื่อนร่วมชั้น
          เพื่อนๆ เข้าเรียนตรงเวลาทุกคน มีความตั้งใจเรียน และตั้งใจทำกิจกรรม
ประเมินอาจารย์สอน
          อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา มีความตั้งใจในการสอน เตรียมกิจกรรมมาเป็นอย่างดี และมีความเป็นกันเอง